โฮจิมินห์-ดาลัด-มุยเน่ 5 วันของการเดินทางที่ทรหด

5 วัน กับการเดินทาง 3 เมือง ณ ประเทศเวียดนาม

การกลับมากับการเขียนบล็อกเริ่มต้นด้วยการเดินทาง โฮจิมินห์-ดาลัด-มุยเน่ ก็แล้วกันค่ะเพราะเป็นการเดินทางที่ตลึกตาตลึงใจเป็นอย่างมาก (ทั้งการเดินทาง ผู้คน แวดล้อม) เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของแอดมินเท่านั้นน่ะค่ะ 

วันแรกเราต้องเดินทางด้วยน้อง นกแอร์ รอบเช้า แต่เนื่องด้วยการคาดการณ์ที่ผิดพลาดเราเลยตกเครื่องค่ะ ก็ต้องเปลี่ยนสายการบินเป็น VietJet รอบบ่ายแทน ครั้งแรกของสายการบิน VietJet ไม่ค่อยพึงพอใจเท่าไหร่ค่ะ ทั้งกลิ่นที่เหม็นอับ ที่นั่งก็สกปรกพอๆกับรถทัวร์ ป.2 บ้านเราค่ะ ทั้งที่เก็บของด้านหน้าเราก็เหมือนไม่เคยทำความสะอาดมาก่อน และสิ่งที่นอกเหนือการควบคุมคือ กลิ่นเท้าของเพื่อนร่วมทางต้องนั่งสูดกลิ่น 1.30 ชม. ด้วยกัน ในที่สุดเราก็ถึงแล้วค่ะ ท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต พอออกมาจากกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เดินออกมาอีกนิดก็จะเจอเคาเตอร์แลกเงิน และซิมการ์ด แอดมินเลือกซิมการ์ด Mobifone ราคา 200.000 VND. (336 บาท) เป็นซิมการ์ดรายเดือนค่ะ
ทำการเปิดซิมกาณ์ดเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาหาทางเข้าเมืองค่ะ มี 2 ทางเลือกคือ จะนั่งรถเมล์หรือแท็กซี่ก็แล้วแต่สะดวกค่ะ ส่วนแอดมินเลือกนั่งรถเมล์ สาย 152 เพื่อไปลงที่ตลาดเบทัน ราคา 10.000 VND. (โดยเป็นแยกคิดเป็นค่าคน 5.000 VND.และค่ากระเป๋า 5.000 VND. ประมาณ 16.8 บาท)
การคิดตามเรทที่แอดมินไป เงิน VND. x 0.00168 (14 ธ.ค. 58)
ส่วนท่านไหนต้องการใช้แท็กซี่ไปแถวตลาดเบทันก็ราคาประมาณ 120.000 - 200.000 VND. แล้วแต่สภาพการจราจรค่ะ (ค่าแท็กซี่ จะเริ่มต้น 12.000 VND.)

เนื่องด้วยเวลาที่แอดมินไปถึงก็เย็นมากก็คงได้เวลาที่เลิกงานรถเลยติด ก็ใช้เวลาจากสนามบินมาถึงตลาดเบถัน ประมาณ 45 นาที แต่สิ่งที่ทำให้แอดมินปวดหัวก็คือ เสียงแตร รถที่จอแจ แออัดมาก


พอถึงจุดลงรถสาย 152 ก็เดินลากกระเป๋าไปหาซื้อตั๋วรถไป ดาลัดรอบเที่ยงคืนกันค่ะ เป็นรถนอนของบริษัท Phuong Trang Futa ราคาตั๋ว 230,000 VND. ขึ้นรถเที่ยงคืนไปถึงดาลัดประมาณ 6 โมงเช้า
**แนะนำสำหรับคนที่เมารถแนะนำให้นั่งด้านล่างและช่วงหน้าหรือช่วงกลางรถซึ่งรถจะไม่ค่อยเหวี่ยงและที่ค่อนข้างกว้างกว่า ส่วนเราได้นอนที่ชั้นบนท้ายสุดแคบมากและเหวี่ยงสุดๆๆ

  รถออกทุก 1 ชั่วโมงค่ะ เที่ยวแรก 5.00 เที่ยวสุดท้าย 24.00 ค่ะ
ระหว่างรอรถออกก็เดินเล่นๆอยู่แถวในซอยท่ารถนี่แหละค่ะ มีทั้งร้านอาหาร ร้านเหล้า ถ้าเปรียบกับบ้านเราแถวนี้ก็คือ "ถนนข้าวสาร"  พนง.แจ้งว่าให้มาก่อนเวลาสัก 30 นาที นี่รอจน 24.30 รถก็ยังไม่มาเลยก็รอต่ออีกสัก 10 นาที รถก็มาค่ะ พนง.ก็ขนกระเป๋าใส่ใต้ท้องรถค่ะ และก็ให้เราขึ้นรถไป ก่อนขึ้นรถให้ถอดรองเท้าก่อนแล้วใส่ถุงแล้วก็เดินไปนั่งที่ หลังจากนั้นก็นอนค่ะ เพราะไม่มีอะไรให้ดู นอกจากหลับตา
ตอนนี้เวลาประมาณ ตี 3 รถก็หยุดพักรถให้เราเข้าห้องน้ำ แต่เท่าที่ดูไม่มีใครตื่นลงมาเลยแต่เราด้วยสไตล์แล้วก็ต้องลงมายืดเส้นยืดสายกันบางบอกเลยค่ะ ว่าอากาศเย็นมาแล้วไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของประเทศนี้ จอดสักประมาณ 30 นาที พนง.ก็เรียกให้ขึ้นรถต่อ ก็นอนต่อตามระเบียบค่ะ สักประมาณ 6.30 เราก็มาถึงท่ารถที่เมืองดาลัด วินาทีแรกที่ก้าวเท้าลงจากรถแทบช็อคค่ะ เย็นมากด้วยอุณหภูมิ ประมาณ 5 องศา อ้างอิงจากมือถือตอนนั้น ควันออกปาก มือเย็นเป็นน้ำแข็งเลยค่ะ รอกระเป๋าเรียบร้อยก็จะมีรถตู้มาจอดเรียงรายอยู่ถามว่าเราพัก รร. ไหนและเรียกให้เราไปรถคันนั้นคันนี้ เพื่อรอผู้ร่วมทาง รถตู้จะนำเราไปส่งตาม รร. ที่เราจองไว้ ฟรี!! ค่

ในที่สุดเราก็มาถึงที่พักเรียบร้อย Saphir Dalat 

 
    




กินเที่ยวให้อิ่มท้อง ก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ กับ พล ก๋วยเตี๋ยวโบราณ

ก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ 
ร้าน พล ก๋วยเตี๋ยวโบราณ
ตั้งอยู่ริมน้ำ ซอย พิบูลสงคราม 15

เนื่องด้วยความอยากกิน + กับการต้องเดินทางผ่านแถวนั้นเลยจัดสักหน่อย การเดินทางก็ง่ายนิดเดียวจ้า ถ้ามากจาก งามวงศ์วาน ถึงแยกนนทบุรีให้เลี้ยงซ้ายไปทาง ถนนติวานนท์ ตรงไปเลื่อยๆ ก็จะเห็นสะพานพระราม 5  ให้เลี้ยวซ้ายก่อนขึ้นสะพานน่ะจ๊ะ พอเลี้ยวซ้ายพอเห็นแยกไฟแดงแรกให้เลี้ยวซ้ายเข้าซอยตรงไฟแดงเลยค่ะ ก่อนถึงท่าน้ำนนท์ค่ะ เข้าไปในซอยประมาณ 500 เมตรได้ ร้านจะอยู่ตรงมุมโค้งพอดีเลยจ้าหาที่ จอดแถวๆนั้นหรือในร้านก็มีที่จอดเล็กน้อยค่ะ
เดินเข้าไปในร้านก็เจอะการตกแต่งร้านเหมือนบ้านไทยสมัยก่อนและร้านอยู่ริมน้ำ เลือกสรรได้เลยจ้าว่าจะนั่งตรงไหนถ้าไม่มีใครจองไว้สะก่อนน่ะ 
วันนี้เรามากัน 3 คนกับเพื่อน เลยสั่งเมนู เล็กๆ 1 ชามสำหรับ 3 คน ราคา 300 บาท อยากบอกว่าอิ่มสุดๆจ้า รสชาติก็อร่อยจ้า


ใครผ่านไปผ่านมาแถวนั้นรองเข้าไปลิ้มลองรสชาติ กันน่ะค่ะ

 

หนีเที่ยวไปดูแกะกัน กับ Pattaya Sheep Farm

Pattaya Sheep Farm เป็นแหล่งท่องเที่ยว เหมาะสำหรับพักผ่อนกันแบบครอบครัวจริงๆ 

แต่ทางเข้า หายากนิดนึงน่ะค่ะ เพราะป้ายเล็กมาก (แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าปรับปรุงแล้วหรือยัง) เสียค่าเข้า 50 บาทจ๊ะ ข้างในก็มีกิจกรรม ให้นมแกะ เลี้ยงหญ้าแก มีกวาง มีหมูสามตัว มีม้าแคะ


ภายในฟาร์มก็มีร้านขายของฝาก ร้านอาหารกินเล่น ร้านน้ำแข็งใส ไม่ไกลจากกรุงเทพ ใครสนใจก็แวะเข้าไปเลี้ยงร้องแกะ น้องหมู น้องกวาง น้อยควาย น้องม้าแคระ กันน่ะจ๊ะ




แบกของไปแจกน้อง ณ โรงเรียนบ้านห้วยจะกือ อ.แม่สอด จ.ตาก

วันเด็ก 2556 ณ หมู่บ้านห้วยจะกือ ชาวเขาปากยอ

เมื่อวันเด็กที่ผ่านมา ได้แอบตามเพื่อน ขึ้นดอยไปแจกของให้แก่เด็กชาวเขาปากยอ ณ โรงเรียนบ้านห้วยจะกือ มาค่ะ บรรยากาศ ดีมากค่ะ เลยเอามาให้ชมกันค่ะ
โรงเรียนนี้เป้นโรงเรียนเล็กๆ ที่อยู่กลางหุบเขา อากาศเย็นเกือบทั้งปีค่ะ การเดินทางไปตอนนี้ก็ถือว่าสะดวกกว่าตอนหน้าฝนเยอะมากค่ะ ใช้เวลาเดินทางจาก ด่านแม่ท้อ ปากทางขึ้นไปจนถึง ณ โรงเรียนใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงด้วยกันค่ะ ทางค่อนข้างขุขระ (ลำไส้ เหมือนจะมากองรวมกันเลยทีเดียว อิอิ) แต่ รถเก๋ง รถตู้ ก็สามารถขึ้นไปได้ค่ะ




บรรยากาศ ตอนเช้า ออกจะสายๆๆ หน่อยแล้วด้วย อิอิ แต่พูดก็ยังเป็นไออยู่เลย (ไม่มีสัญาณโทรศัพท์ ด้วย) ป่าเขาแท้ๆ กันเลยทีเดียว


บรรยากาศ โรแมนติค มาก หมู่บ้านนี้ก็เป็นหมู่บ้านดิบๆ ธรรมชาติมาก มีต้นกาแฟขึ้นตามข้างทาง หมีหมูป่า ที่ชาวบ้านเอามาเลี้ยง จนกลายเป็นหมู่บ้าน เดินให้เต็มไปหมด



บรรยากาศ บ้านช่อง ของชาปากอยอ ณ บ้านห้วยจะกือ


 เด็กน่ารักทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ไม่ค่อยพูดภาษาไทย พูดแต่ภาษาชนเผ่าตัวเอง แต่พังภาษาไทยรู้เรื่อง แต่จะสื่อสารกันลำบาก เพราะ น้องเค้าไม้พูดด้วย (หรือว่า พ่อแม่ สอนว่า อย่าพูดกับคนแปลกหน้า อย่างเรา)







จบการเดินทาง แบกของไปแจกน้อง แล้วค่ะ

แบกเป้เที่ยวเชียงใหม่ตามใจอยาก 4

วันที่ 4 เชียงใหม่ - ม่อนแจ่ม - ขุนช่างเคี่ยน - ดอยอินทนนท์ 

วันนี้จุดมุ่งหมายของเราคือ ขุนช่างเคี่ยน ค่ะ เราต้องการที่จะไปชมดอกซากุระเมืองไทย หรือ ที่บ้านเราเรียกกันว่า "ต้นนางพยาเสือโครง" ตื่นมาก็ล้างหน้าล้างตา อาบน้ำ (น้ำเย็นมาก ค่ะ ณ ม่อนแจ่ม) ขับรถมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่เราก็ หาที่พักกันก่อนเลยจ๊ะ พอหาที่พักเสร็จ เอากระเป๋าเก็บ แล้วก็ได้เวลา โกทู ขุนช่างเคี่ยน เที่ยวไปเลื่อยๆ ไม่รีบไม่ร้อน จ๊ะ
ขุนช่างเคี่ยนไปง่ายค่ะ ขับมอเตอร์ไซต์ ก็ไปถึง ทางอาจจะคดเคี้ยงบ้างอะไรบ้าง แต่อย่างไรก็ ต้องบีปแตร ไปตลอดทางค่ะ สนุกดี แล้วก็มีเพื่อนๆ มอเตอร์ไซต์คันอื่นตามๆ กันไป บีปแตร กันไปอย่างสนุกสาน สองข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวสูง เห็นวิวบนที่สูง แล้วอากาศเย็นสบาย ถือว่าเป็นประสบการณ์ ที่ดีเลยค่ะ แต่ถ้าใครจะนำรถยนต์ ขึ้นไปก็สามารถขึ้นไปได้ น่ะค่ะ แต่ขอแบบชำนาญ นิดนึงค่ะ เพราะ ทาง ค่อนข้างแคบรถสวนกันไม่ค่อยได้ ถ้าจะสวยกันต้องหาทางหลบน่ะค่ะ









!!! ลืมบอกไปอีกหนึ่งอย่างว่า บนขุนช่างเคี่ยน ไม่มีร้านอาหาร น่ะค่ะ มีแต่ มาม่าต้ม จัดจำหน่ายค่ะ

พอกินมาม่าต้มเสร็จ (เป็นอาหารอัน โอชะ เมื่อเวลาไม่มีอะไรกิน จริงๆ ค่ะ "มาม่า" สุดยอด ไปเลยจ๊ะ อิอิ)
ระหว่างทางกลับก็ผ่าน ดอยปุย พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ด้วยน่ะค่ะ แต่เราไม่ได้แวะ ค่ะ เพราะเห็นว่า เริ่มที่จะเย็นแล้ว กลัวลงจากดอยไม่ทัน เรา แค่แวะ ที่ "พระธาตุดอยสุเทพ" เท่านั้น ขึ้นไปสักการะ พระคู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่สักหน่อย 







ติดตามกันต่อไปน่ะค่ะ ครั้งต่อไป จะพาไปดอยอินทนนท์ สูงสุดแดนสยาม กันค่ะ

บทความที่นิยม