แบกเป้ท่อง เวียงจันทร์,หลวงพระบาง ตอนที่ 2

แบกเป้ เที่ยว ลาว ชิวๆ ตอนที่ 2

จากตอนที่แล้วเราพาไปกินกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราจะออกแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวกันบ้างน่ะค่ะ  ก่อนอื่นเราก็ต้องเปิดแผนที่กันสักนิดนึงว่า เราจะไปเที่ยวที่ไหนดี พอสรุปได้แล้วว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหนเราก็จะต้องหาวิถีทางที่จะไปในแหล่งท่องเที่ยวเหล่านั้น เราเลยต้องใช้ บริการของรถสามล้อ โดยได้ต่อรองราคาแล้ว เราจะไปทั้งหมด สี่สถานที่ เขาคิดราคาที่ละ 40000 กีบ รวมทั้งหมดแล้ว เราจ่ายไป 160000 กีบ ก็ประมาณ 600 บาท สำหรับสองคนน่ะค่ะ


  พอตกลงราคาเสร็จก็พร้อมที่จะออกเดินทางไปยังที่แรกกันเลยค่ะ ที่นี่ เรียกว่า "หอพระแก้ว" 

หอพระแก้ว คือสถานที่เคยประดิษฐาน พระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ตั้งอยู่ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ปัจจุบันเหลือเพียงพระแท่นที่ประดิษฐาน เพราะพระแก้วมรกตองค์ปัจจุบันได้รับการอัญเชิญลงมาประทับที่กรุงเทพมหานครในสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นผู้อัญเชิญ

แต่เดิมหอพระแก้วนั้นเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2108 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้อัญเชิญมาจากนครเชียงใหม่ อาณาจักรล้านนา เมื่อต้องเสด็จกลับมาครองราชบัลลังก์ล้านช้างหลังจากที่พระราชบิดาคือพระเจ้าโพธิสารสิ้นพระชนม์ลงในการทำศึกสงครามกับประเทศสยาม เมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย

สำหรับหอพระแก้วที่นักท่องเที่ยวเห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2480 - 2483 ภายใต้การควบคุมดูแลการก่อสร้างของ เจ้าสุวรรณภูมา ผู้ที่จบการศึกษาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และต่อมายังได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับเอกราชอีกด้วย แม้หอพระแก้วปัจจุบันจะไม่ใช่วัดอีกต่อไป แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังนครเวียงจันทน์ก็ยังเดิน ทางมาสักการะบูชากันเป็นจำนวนมาก สำหรับส่วนในของพิพิธภัณฑ์นั้น จัดแสดง พระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฏก ภาษาขอมและกลองสำริดประจำราชวงศ์ลาว สำหรับประตูใหญ่ทั้งสองเป็นของเก่าที่หลงเหลือมาแต่เดิม บานประตูจำหลักเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บริเวณโดยรอบของหอพระแก้วเงียบสงบ ร่มเย็นมีไหขนาดกลางจากทุ่งไหหิน ในแขวงเชียงขวางวางตั้งอยู่ 1 ใบ อาณาบริเวณรอบๆ วัดสีสะเกดและหอพระแก้วเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางของหน่วยงานปกครองของฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมมาก่อน

ที่มาของข้อมูล wikipedia

สถานที่นี้เสียค่าเข้าชม  5000 กีบ ต่อ คน














พอชมหอพระแก้วเสร็จก็ได้เวลาไปต่อแล้ว ที่ต่อไป เค้าเรียกว่า อะไรไม่รู้แต่คล้าย ศาลหลักเมืองบ้านเรานี่เอง คนขับรถเขาบอกว่า เจ้าแม่ที่นี่ศักสิทธิ์ มาก ใครขออะไรก็ได้ตามคำขอ นั้น (แต่ว่าเราไม่ได้ขออะไรเลย แค่ไปไหว้แค่นั้นเอง) ศาลหลักเมืองนี้ก็อยู่ไม่ไกลจากที่แรกสักเท่าไหร่ ที่นี้ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม วัดส่วนมากในประเทศลาว เขาจะใช้ ธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม (ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ไม่ได้ถาม แต่คงน่าจะเป็นความเชื่อ ทางวัฒนธรรมของชาวลาว เขาล่ะค่ะ)





พอไหว้ศาลหลักเมืองเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่ ที่สามคือ "พระธาตุหลวง" เป็นพระธาตุที่ใหญ่ที่สุดในลาวเลยก็ว่าได้ แต่กว่าจะไปถึงพระธาตุหลวงได้นั้นต้องเดินไกลมาก แล้ววันนั้นก็อากาศร้อนมาก จนจะทำให้เราเป็นลมกันเลยทีเดียว

พระธาตุหลวง เสียค่าเข้าชม 5000 กีบ ต่อ คน 







พอจะเป็นลมหน้ามืดกับการเดินไปชมพระธาตูหลวงเราก็ต้องออกเดินทางต่อไปยัง "ประตูชัย" กันบ้างล่ะทีนี้ อันนี้ก็อยู่ไม่ได้ห่างกันจากพระธาตุหลวงสักเท่าไหร่ ก็ถึงที่ประตูชัยแล้ว ประตูชัยจะอยู่ตรงข้ามกับ รัฐสภา หรือ เกี่ยวกับรัฐบาลของลาวเขานี่แหละ ค่ะ  เราคิดว่าคงไม่ต้องเหนื่อยกับการเดินสักเท่าไหร่แล้วสำหรับสถานที่นี้ แต่ที่ไหนได้ เหนื่อยมาก เราต้องขึ้นไปสู่ยอดของประตูชัย ที่สูงราวๆๆกับตึก 7 ชั้นนี่ล่ะค่ะ เหนืื่อยสุดๆๆๆ แต่ ก็มีสิ่งที่ทำให้เราหยุดพักเหนื่อยก็คือ แหล่งช็อบปิิ้ง ของฝากของที่ระลึก อยู่ระหว่างทางเดินขึ้นไปสู่ยอดประตูชัย อิอิ

สำหรับประตูชัยนั้นเสียค่าขึ้นไปชมวิว ยอดประตูชัยก็ คนละ 3000 กีบ น่ะค่ะ แต่ถ้าใครไม่อยยากขึ้นไปสู่ยอดประตูชัยก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมค่ะ ฟรี








พอเราเหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้กับความร้อนที่ร้อนมากมาย ในขณะนั้น เราก็ได้เวลากลับไปยังโรงแรมของเราแล้ว แต่ก่อนที่เราจะกลับไปยังที่พัก เราได้ให้คนขับรถ พาเราไปจองตั๋ว รถ เพื่อ ที่เราจะไปหลวงพระบางในวันพรุ่งนี้ 
ค่าตั๋วระไปหลวงพระบาง ราคา 190000 กีบ  ก็ประมาณ 700 บาท ค่ะ จะมีรถไปรับเราถึงโรงแรมเลยน่ะ (เป็นรถแบบ VIP. ในความคิดของเรา คิดว่าคงเบาะใหญ่ๆ มีระบบนวด เหมือนของทางบ้านเรา แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ฮาๆๆๆ จะเปรียบเทียบกับรถบ้านเราก็ประมาณ รถทัวร์ ป.2 อะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ)
เอาละค่ะพอจองตั๋วเสร็จ เราก็ต้องกลับที่พักกันแล้ว อ่อ ลืมบอกเวลา รถออก 8.00 น. แต่จะมีรถมารับเราตอน 7.00 น. เราถามว่าใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ในการเดินทาง เขาบอกว่า ประมาณ 8-9 ชั่วโมง แต่ความเป็นจริงแล้วใช้เวลาไป 13 ชั่วโมงด้วยกันค่ะ

เอาละค่ะต้องกลับโรงแรมได้อย่างจริงจังสักที เพื่อเตรียมตัวต่อสู้กับวันพรุ่งนี้ เพื่อไปสู่หลวงพระบาง 

ติดตามกันต่อไปน่ะค่ะ ในตอนที่ 3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่นิยม